Seo Sem Keywords เลือกทำอะไรก่อน และทั้งหมดนี้คืออะไร ทำไมต้องทำ ทำไปทำไม ถ้าเพื่อนๆต้องการที่จะหารายได้จาก Google Adsense เพื่อนๆจำเป็นต้องทำ Seo Sem และ Keywords มากแค่ไหน มาหาคำตอบกัน!
SEO เป็นกระบวนการที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของแบรนด์ขึ้นหน้าแรกของการค้นหาบน Search Engine โดยไม่ต้องเสียเงินค่าโฆษณา จากผลสำรวจของ Gartner พบว่าการใช้ SEO เองก็จัดอันดับเป็น Top 5 ของช่องทางที่สามารถสร้าง Marketing Qualified Leads (MQLs) ซึ่ง SEO นอกจากจะสร้าง Traffic เข้าเว็บไซต์แล้วยังช่วยสร้าง Lead ในระยะยาว, สร้างรายได้ทาง E-Commerce หรือสร้าง Community เพื่อไปต่อยอดทางธุรกิจได้อีกด้วย ซึ่งการจะทำ SEO (Search Engine Optimisation) ให้สำเร็จนั้นประกอบด้วย 2 องค์ประกอบหลักๆ ได้แก่
การทำ SEO ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้แบรนด์ในระยะยาว ทำให้แบรนด์ได้ Lead ที่มีคุณภาพจริงๆ โดยไม่ต้องเสียเงินซื้อโฆษณา และแม้จะหยุดทำ SEO สักพัก ก็ไม่ส่งผลต่ออันดับของเว็บไซต์ใน Search Engine มากนัก จนกว่าจะมีคู่แข่งเบียดขึ้นมา
SEM เป็นการทำการตลาดบน Search Engine ซึ่งแบรนด์ต้องมีการประมูล Keyword เพื่อให้โฆษณาแสดงผลตามการค้นหาหน้าแรก โดยแบรนด์จะต้องจ่ายเงินตามจำนวนการคลิก หรือที่เรียกว่า PPC (Pay per click) โดยอันดับตำแหน่งของโฆษณาขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ Quality Score ที่ระบบจะดูว่าคำ Keyword ที่แบรนด์ประมูล มีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาบนเว็บไซต์มากน้อยแค่ไหน เมื่อแบรนด์หยุดจ่ายเงินค่าโฆษณาเมื่อไหร่ โฆษณาก็จะหยุดไปด้วย ซึ่งทำให้ยอด Traffic ที่เคยเยอะนั้นลดฮวบในพริบตา
ความจริงแล้วนั้น SEO ถือเป็นกระบวนการหนึ่งที่อยู่ภายใต้ SEM ดังนั้นถ้าถามว่าแบรนด์ธุรกิจควรโฟกัสสิ่งไหนมากกว่ากัน คำตอบคือควรทำสองอย่างควบคู่กันไปทั้ง SEO และ SEM ไม่ควรเลือกกระบวนการใดกระบวนการหนึ่ง เพราะแต่ละกระบวนการต่างมีข้อดีที่จะช่วยเสริมกันและกัน และยังได้รับประโยชน์ในด้านที่ต่างกันอีกด้วย แม้ว่าในการทำ SEO นั้นค่อนข้างใช้เวลาในการทำมากกว่า SEM โดยใช้เวลาอย่างน้อยประมาณ 6 เดือนขึ้นไป แต่ในขณะเดียวกันเราก็สามารถทำ SEM ควบคู่กันไปได้เลย เพราะจะส่งผลให้ SEO มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นด้วยเช่นกัน
ตัวอย่างเช่น หากแบรนด์ธุรกิจมุ่งเน้นแค่เฉพาะการทำ SEM จะทำให้เสียค่าใช้จ่าย CPC (Cost Per Click) ซึ่งหมายความว่า ถ้ามีการคลิกที่โฆษณานั้นๆ ก็จะเสียเงินในราคาที่กำหนดไว้ เพราะว่าเว็บไซต์ยังมี Quality Score ที่น้อย ดังนั้นควรทำ SEO ควบคู่ไปด้วย เพราะจะได้ Quality Score เพิ่มขึ้นจาก Landing Page รวมทั้งเป็นการวางรากฐานเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์
อย่างไรก็ตามแม้ทั้ง SEO และ SEM แตกต่างกันด้วยค่าใช้จ่ายและระยะเวลา แต่เป้าหมายที่ทั้งสองมีเหมือนกันคือการทำให้หน้าเว็บไซต์ของเราให้มาปรากฏอยู่บนหน้าแรกของ Search Engine พร้อมทั้งยังช่วยเพิ่ม Traffic ให้เว็บไซต์ของเราอีกด้วย
ดังนั้นการจะทำ SEO และ SEM ให้มีประสิทธิภาพที่ดี ควรเริ่มจากการวางแผนการตลาดที่ดี โดยพิจารณาเรื่องระยะเวลาและค่าใช้จ่าย หรืองบประมาณในการทำโฆษณาให้เหมาะสม เพราะหากผลลัพธ์ที่ได้ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์การไว้ ควรจะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางด้านการตลาดออนไลน์ให้ช่วยวางแผนดังกล่าวเพื่อการเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพของธุรกิจคุณ
Search Engine ที่ใช้กันทั่วไปนั้น มีอาทิ Google, Bing, Yahoo!, Yandex และ Baidu โดย Google ได้รับความนิยมอันดับ 1 ในประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษ ออสเตรเลีย รวมทั้งประเทศไทย เรียกได้ว่ามีส่วนแบ่งในการตลาดกว่า 90% เลยทีเดียว ส่วนในประเทศญี่ปุ่น ฮ่องกง และไต้หวันนิยมใช้ทั้ง Google และ Yahoo! สำหรับในรัสเซียนั้นใช้ Yandex และในประเทศจีนใช้ Baidu
แม้ว่าจะมี Search Engine หลากหลายบริษัท แต่หลักการทำงานนั้นก็ไม่ต่างกัน โดยเริ่มจากเมื่อเราป้อน Keyword (คีย์เวิร์ด) ลงในช่องค้นหา Search Engine จะประมวลผลและแสดงออกมาเป็นรายการของเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาตรงกับ Keyword นั้นๆ ไว้ใน Search Result Page (หน้าแสดงผลการค้นหา)
ยิ่งเว็บไซต์อยู่ในอันดับที่ดีมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสให้มีคนเปิดเข้าไปดูมากขึ้นเท่านั้น และนำมาซึ่งยอดผู้ใช้บริการหรือยอดขายที่เพิ่มมากขึ้น ด้วยเหตุนี้เองผู้ที่มีเว็บไซต์จึงต้องทำ SEM เพื่อโปรโมทให้เว็บไซต์ติดอันดับอยู่ในหน้าแรกเวลาค้นหา